เมนู

อรรถกถาชาดก


อัฏฐกนิบาต


อรรถกถากัจจานิวรรคที่ 1



อรรถกถากัจจานิโคตตชาดกที่ 1



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคนหนึ่ง จึงได้ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า โอทาต-
วตฺถา สุจิ อลฺลเกสา
ดังนี้.
ได้ยินว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น เป็นลูกผู้ดีเมืองสาวัตถี เป็น
คนมีมรรยาทดี เมื่อบิดาตายแล้วเขาบูชามารดาเหมือนเทวดา บำรุง
มารดาด้วยการขวนขวายจัดน้ำล้างหน้า บ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ
น้ำล้างเท้าเป็นต้น และด้วยข้าวยาคูแลภัตรเป็นอาทิ. ครั้งหนึ่งมารดา
กล่าวกะเขาว่า ลูกรัก เจ้ามีการงานซึ่งเป็นเรื่องของฆราวาสมากมาย จง
พาหญิงที่มีตระกูลเสมอกันคนหนึ่งเป็นภรรยาเขาจักเลี้ยงดูแม่ ส่วนเจ้า
จักได้ทำการงานของตัวไป. เขากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ฉันหวังประโยชน์สุข
สำหรับตน จึงบำรุงเลี้ยงแม่ คนอื่นใครเล่าจักบำรุงเลี้ยงได้อย่างนี้.
มารดากล่าวว่า ลูกรัก เจ้าควรทำการงานที่ให้ตระกูลเจริญ. เขากล่าวว่า
ฉันไม่ต้องการครองเรือน ฉันจักบำรุงเลี้ยงแม่ เวลาแม่สิ้นชีพแล้วฉัน
จักบวช. ลำดับนั้น มารดาของเขาแม้อ้อนวอนบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ดังใจ

จึงไม่ถือความพอใจของเขาเป็นเกณฑ์ นำหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกัน
มาให้เขา. เขาก็มิได้คัดค้านมารดา ได้อยู่ร่วมกันกับหญิงนั้น. แม้หญิง
นั้นก็คิดว่า สามีของเราบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่
แม้เราก็ควรจักบำรุงเลี้ยงท่าน เมื่อเราทำอย่างนี้ก็จักเป็นที่รักของสามี
คิดดังนี้แล้วก็บำรุงแม่ผัวโดยเคารพ. อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคิดว่า หญิงนี้
บำรุงเลี้ยงมารดาของเราโดยเคารพ จึงนับแต่นั้นมาเขาได้ให้ของกินที่มี
รสอร่อยที่ได้มา ๆ แก่นางผู้เดียว. ครั้นเวลาต่อมา หญิงนั้นคิดว่าบุรุษ
ผู้นี้ ให้ของกินที่มีรสอร่อย ๆ ที่ได้มา ๆ แก่เราเท่านั้น เขาคงจักต้อง
การขับไล่มารดาเป็นแน่ เราจักทำอุบายขับไล่แก่เขา นางลืมตัวคิดไป
โดยไม่ไตร่ตรองอย่างนี้ วันหนึ่ง จึงบอกสามีว่า คุณพี่ เมื่อพี่ออกไป
ข้างนอก มารดาของพี่ด่าฉัน. เขาได้นิ่งเสีย นางคิดว่าเราจักใส่โทษ
หญิงแก่นี้ แล้วทำตระกูลผัวให้แก่บุตร. ตั้งแต่นั้นมาเมื่อนางจะให้ข้าว
ยาคู ก็ให้ที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง ไม่เค็มบ้าง เค็มจัดบ้าง. เมื่อแม่ผัว
บอกว่า แม่หนู ข้าวยาคูร้อนจัด หรือเค็มจัด นางก็เติมน้ำเย็นใส่เสีย
จนเต็ม. เมื่อแม่ผัวบอกอีกว่า เย็นมากไป เค็มมากไป นางก็ส่งเสียง
ขึ้นว่า เมื่อก็แม่บอกว่า ร้อนจัด เค็มจัด ใครจักสามารถทำให้ถูกใจ
แม่ได้ แม้น้ำสำหรับอาบ นางก็ต้มจนร้อนจัดแล้วราดบนหลัง. เมื่อ
แม่ผัวบอกว่า แม่หนู หลังแม่ไหม้หมดแล้ว นางก็เอาน้ำเย็นเติมใส่
เสียจนเต็ม. เมื่อแม่ผัวบอกว่า เย็นจัดไป แม่หนู นางก็เที่ยวพูดกับ
ชาวบ้านว่า แม่ผัวฉันพูดว่า น้ำสำหรับอาบร้อนจัดอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วกลับ

ร้องขึ้นอีกว่า เย็นจัดไป ใครจักสามารถเอาใจหญิงแก่คนนี้ได้. เมื่อ
แม่ผัวบอกว่า แม่หนูเตียงนอนของแม่มีเลือดชุม นางก็นำออกมาแล้ว
เอาเตียงของตนเคาะลงบนเตียงนั้น บอกว่าฉันเคาะแล้ว แล้วก็นำกลับ
ไปตั้งไว้ตามเดิม. แม่ผัวผู้เป็นมหาอุบาสิกาถูกเรือดกัด ต้องนั่งอยู่ตลอด
คืน พอรุ่งสว่างจึงพูดว่า แม่หนู ฉันถูกเรือดกัดตลอดคืน. นางก็
เถียงว่า เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่ ใครจักอาจช่วยเหลือการงาน
ของตนเช่นนี้ได้ นางคิดว่า คราวนี้เราจักให้ลูกชายเขาใส่โทษ จึง
แกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยลาดไว้ในที่นั้น ๆ เมื่อสามีถามว่า ใคร
ทำเรือนนี้ให้สกปรกไปหมด นางก็กล่าวว่า มารดาของท่านทำอย่างนี้
ฉันบอกว่าอย่าทำเลย ก็พาลทะเลาะ ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับหญิง
กาลกรรณีเช่นนี้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่หรือจักให้ฉันอยู่
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาได้ฟังคำของนางแล้ว กล่าวว่า น้องรักเธอยังสาวอยู่
อาจที่จะไปดำรงชีพอยู่ในที่ใด ๆได้ ส่วนแม่ของฉันเป็นคนแก่ทุพพลภาพ
ฉันเท่านั้นเป็นที่พึ่งของแม่ เธอจงออกจากบ้านไปสู่ตระกูลของตน. นาง
ได้ฟังคำของสามีแล้วมีความกลัว คิดว่า เราไม่อาจแยกสามีของเราจาก
มารดาได้ มารดาเป็นที่รักของเขาโดยส่วนเดียว ถ้าเราไปเรือนแห่ง
ตระกูล เราจักต้องอยู่อย่างเป็นหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น เรา
จักปฏิบัติ ให้แม่ผัวโปรดปรานเหมือนแต่ก่อน. ตั้งแต่นั้นมา นางได้
ปฏิบัติแม่ผัวเหมือนดังก่อนทีเดียว.

อยู่มาวันหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้นไปสู่พระวิหารเชตวัน
เพื่อฟังพระธรรม ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง. พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกท่านไม่ประมาทในบุญกรรม
มิใช่หรือ ท่านบำเพ็ญมาตาปิตุปัฏฐานกิจมิใช่หรือ ? เขากราบทูลเรื่อง
ทั้งหมดแด่พระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาของ
ข้าพระองค์นำหญิงในตระกูลคนหนึ่งมาเพื่อข้าพระองค์ โดยที่ข้าพระองค์
ไม่ชอบใจเลย นางนั้นได้ทำอนาจารต่าง ๆ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงอย่างนี้นางก็ไม่อาจจะแยกข้าพระองค์จากมารดาได้ เดี๋ยวนี้นางได้
บำรุงเลี้ยงมารดาโดยเคารพ.
พระศาสดาทรงสดับด้วยคำของอุบาสกนั้นแล้ว มีพระดำรัสว่า
อาวุโส เดี๋ยวนี้เธอไม่การทำตามคำของหญิงนั้น แต่เมื่อก่อนเธอได้ขับไล่
มารดาของเธอตามคำของนาง แต่ได้อาศัยเราจึงได้นำมารดามาสู่เรือน
บำรุงเลี้ยงอีก อุบาสกทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี กุลบุตรของตระกูลหนึ่ง เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดา
เหมือนเทวดา ปฏิบัติมารดาโดยทำนองดังกล่าวแล้ว เรื่องทั้งหมดมี
เนื้อความพิสดารตามทำนองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล. จับความ

ตอนนี้ว่า ก็เมื่อหญิงนั้น กล่าวกะสามีว่า ฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับหญิง
กาลกรรณีเช่นนี้ได้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจะให้ฉัน
อยู่ กุลบุตรนั้น เชื่อถ้อยคำของหญิงนั้น คิดว่า เป็นความผิดของแม่
เราคนเดียวจึงกล่าวกะมารดาว่า แม่ แม่ก่อการทะเลาะขึ้นในเรือนนี้
เป็นนิตย์ แม่จงออกจากเรือนนี้ไปอยู่ในที่อื่นตามชอบใจเถิด. มารดา
พูดว่า ดีแล้ว ร้องไห้ออกจากบ้านไปอาศัยตระกูลที่เป็นเพื่อนกัน ตระกูล
หนึ่งทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยความลำบาก. ในเมื่อนางทำการ
ทะเลาะกับแม่ผัวในเรือนจนแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์.
นางบอกกับสามีและเที่ยวพูดกับชาวบ้านว่า เมื่อหญิงกาลกรรณีนั้นอยู่
ในเรือน ฉันไม่ได้ตั้งครรภ์ เดียวนี้ฉันได้มีครรภ์แล้ว. ต่อมานาง
คลอดบุตรแล้วกล่าวกะสามีที่รักว่า เมื่อมารดาของท่านอยู่ในเรือนฉันไม่
ได้บุตร เดี๋ยวนี้ฉันได้แล้ว ท่านจงรู้ว่ามารดาของท่านเป็นกาลกรรณีด้วย
เหตุนี้เถิด. ฝ่ายหญิงผู้เป็นมารดาได้ข่าวว่า เขาว่ากัน ว่า หญิงสะใภ้ได้
บุตรในเวลาที่เราถูกไล่ออกจากบ้าน นางจึงคิดว่าในโลกนี้ ธรรมคงจัก
สูญไปแน่แล้ว ถ้าธรรมยังไม่สูญ ผู้ที่โบยตีมารดาแล้วขับไล่ออกจากบ้าน
ไม่ควรได้บุตร ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบาย เราจักถวายมตกภัตต์แก่ธรรม.
วันหนึ่ง นางถืองา แป้ง ข้าวสาร ถาดสำรับหนึ่ง และทัพพีไปป่าช้า
ผีดิบเอาศีรษะมนุษย์สามศีรษะมาทำเตา ก่อไฟขึ้นแล้วลงน้ำสระหัว
บ้วนปากเสร็จแล้วมาที่เตา สยายผมแล้วเริ่มซาวข้าวสาร.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวสักกเทวราช.
ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท. ขณะนั้นพระองค์
ตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็นหญิงนั้นกำลังมีความทุกข์ ประสงค์จะถวาย
มตกภัตต์แก่ธรรม ด้วยเข้าใจว่าธรรมได้สูญเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า
วันนี้เราจักแสดงกำลังของเรา ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ทำเป็นเดิน
ทางไป ครั้นเห็นหญิงนั้น จึงแวะไปยืนใกล้นาง กล่าวว่านี่แน่ะแม่คุณ
ไม่มีธรรมดาที่ไหน ที่หุงหาอาหากันในป่าช้าท่านจะเอาข้าวสุกคลุกงา
ที่ทำให้สุกในป่าช้านี้ไปทำอะไร ดังนี้ เมื่อจะเริ่มสนทนา จึงกล่าวคาถา
ที่ 1 ว่า :-
ดูก่อนแม่กัจจานี ท่านสระผม นุ่งห่ม
ผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำหรับนึ่ง ขึ้นบนเตา
ที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์ ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสาร
ทำไม ข้าวสุกคลุกงา จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร ?

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้ :- ท้าวสักกเทวราช
เรียกหญิงนั้น โดยโคตรว่า กัจจานี.
บทว่า กุมฺภิมธิสฺสยิตฺวา ความว่า ยกถาดสำหรับนึ่งนี้ขึ้นบน
เตาที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์
บทว่า เหหิติ ความว่า ข้าวสุกคลุกงานี้จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร
คือท่านจะบริโภคด้วยตนเองหรือยังมีเหตุอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ ?

ลำดับนั้น หญิงนั้นเมื่อจะบอกความแก่ท้าวสักกะเทวราช ได้
กล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงา ที่ทำ
ให้สุกดีนี้ มิใช่เพื่อบริโภคเอง ธรรมคือความ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และธรรมคือสุจริต 3
ประการ ได้สูญไปแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจักทำการ
บูชาธรรมนั้น ในกลางป่าช้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ธรรมคือความอ่อนน้อม
ต่อผู้เจริญ. และธรรมคือสุจริต 3 ประการ.
บทว่า ตสฺส ปหูนมชฺช ความว่า ข้าพเจ้าจักกระทำมตกภัตร
คือภัตรเพื่อผู้ตายนี้ แก่ธรรมนั้น.
ต่อจากนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ 3 :-
ดูก่อนแม่กัจจานี เธอจงตริตรองก่อน
แล้วจึงทำการงาน ใครบอกเธอว่า ธรรมสูญ
เสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐ เปรียบด้วยท้าว
สหัสสเนตร มีอานุภาพหาที่เปรียบมิได้ ย่อม
ไม่ตายในกาลไหน ๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุวิจฺจ ความว่า ท่านจงตริตรอง
คือรู้ให้ชัดเจน.
บทว่า โก นุ ตเวตสํสิ ความว่า ใครหนอบอกความนี้แก่
ท่าน ?
ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงแสดงพระองค์เปรียบด้วยธรรมอัน
ประเสริฐ คือธรรมอันสูงสุด จึงตรัสอย่างนี้ว่า สหสฺสเนตฺโต
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่า ธรรม
สูญแล้วนี้ ข้าพเจ้านึกมั่นใจเอาเอง ในข้อที่ว่า
ธรรมไม่มีสูญนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัย เพราะ
เดี๋ยวนี้ คนมีบาปย่อมมีความสุข.
เช่นหญิงสะใภ้ของข้าพเจ้าเป็นหญิงหมัน
นางทุบตีขับไล่ข้าพเจ้าแล้วคลอดบุตร เดี๋ยวนี้
นางได้เป็นใหญ่แห่งตระกูลทั้งหมด ข้าพเจ้า
ถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่งอยู่คนเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหปฺปมาณํ ความว่า หญิงนั้น
กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ในข้อที่วาธรรมสูญแล้วนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจ
แน่นอนอย่างปราศจากข้อสงสัย.

บทว่า เย เย ความว่า เมื่อหญิงนั้นจะแสดงเหตุในข้อที่ธรรม
นั้นเป็นของสูญแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วธิตฺวาน ความว่า นางทุบตี ขับไล่.
บทว่า อปวิฏฺฐา ความว่า ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้งไม่มีที่พึ่ง ต้อง
อยู่ผู้เดียว.
ต่อแต่นั้น ท้าวสักกะได้กล่าวคาถาที่ 6 ว่า :-
เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย เรามาในที่นี้
เพื่อประโยชน์สำหรับท่านโดยเฉพาะ หญิง
สะใภ้คนใดทุบตีขับไล่ท่าน แล้วคลอดบุตร
เราจักทำหญิงสะใภ้คนนั้นพร้อมทั้งบุตร ให้
เป็นเถ้าธุลีเดี๋ยวนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต.
นางได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราพูดอะไรไป เราจักทำอาการที่
หลานของเราจะไม่ตาย แล้วกล่าวคาถาที่ 7 ว่า :-
ข้าแต่เทวราช พระองค์ทรงพอพระทัย
เสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์สำหรับหม่อมฉัน
โดยเฉพาะอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร

ลูกสะใภ้ และหลานได้อยู่เรือนร่วมกันโดย
ความบันเทิงเถิด.

ลำดับนั้น ท้าวสักเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ 8 แก่นางว่า :-
ดูก่อนแม่กาติยานี เธอชอบใจเช่นนั้น
ก็ตาม เธอถึงจะถูกทุบตีขับไล่ ก็ไม่ละธรรม
คือความเมตตา ขอให้เธอพร้อมทั้งบุตร ลูก
สะใภ้และหลาน จงอยู่ร่วมเรือนกันโดยความ
บันเทิงเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตาปิ สนฺตา ความว่า เธอ
แม้ถึงจะถูกทุบตี แม้ถึงจะถูกขับไล่ ก็ยังไม่ละธรรมคือความเมตตาใน
เด็ก ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอปรารถนาอย่างใด ก็จงสมประสงค์อย่างนั้น
เราเลื่อมใสในคุณธรรมนี้ของเธอ.
ก็แหละท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็ประดับตกแต่ง
พระองค์ ประทับยืนอยู่บนอากาศด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า
ก่อนแม่กัจจานี เธออย่ากลัวเลย ทั้งลูก และลูกสะใภ้ของเธอจักมา
ด้วยอานุภาพของเราจักขอขมาโทษในระหว่างทาง แล้วจักพาท่านไป
ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่วิมานของพระองค์.

ด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช บันดาลให้ลูกสะใภ้ ระลึก
ถึงคุณของมารดา เขาพากันถามตนในบ้านว่า มารดาของเราไปไหน ?
ครั้นได้ทราบว่าเดินทางไปป่าช้า จึงพากันเดินทางไปป่าช้า พลาง
รำพรรณไปว่า แม่ แม่ พอเห็นมารดาก็หมอบลงที่เท้ากล่าวขอ
ขมาโทษว่า ดูก่อนแม่ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ลูกเถิด ขออย่าได้ถือ
โทษเลย. แม้มารดาก็รับหลานมาอุ้ม. ทั้งหมดต่างมีความปราโมทย์พากัน
กลับบ้านอยู่กันด้วยความสามัคคี แต่นั้นมา ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า :-
นางกาติยานี ได้อยู่ร่วมเรือนกับลูกสะใภ้
ด้วยความบันเทิง ทั้งบุตรและหลานต่างช่วย
กันบำรุงเลี้ยง ก็เพราะท้าวสักกเทวราชทรง
อนุเคราะห์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา กาติยานี ความว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นางกัจจานี เป็นกัจจายนโคตร.
บทว่า เทวานมินฺเทน อธิคฺคหีตา ความว่า คนเหล่านั้น
อันท้าวสักกเทวราชผู้เป็นจอมเทวัน ทรงอนุเคราะห์แล้ว จึงอยู่ร่วมกัน
ด้วยความสมัครสมานสามัคคีด้วยอานุภาพของท้าวเธอ.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจธรรม
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ได้เป็นพระโสดาบัน ก็อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาใน
ครั้งนั้น ได้มาเป็นอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาใน
ครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากัจจานิโคตตชาดกที่ 1

2. อัฏฐสัททชาดก



ว่าด้วยพระนิพพาน



[1129] สระมงคลโบกขรณีนี้ แต่ก่อนเป็นที่ลุ่ม
ลึก มีน้ำมาก มีปลามาก เป็นที่อยู่อาศัยของ
พญานกยาง เป็นที่อยู่แห่งบิดาของเรา บัดนี้
น้ำแห้ง วันนี้พวกเราจะพากันเลี้ยงชีพด้วย
กบ ถึงพวกเราจะถูกความหิวบีบคั้นถึงเพียงนี้
จะไม่ละที่อยู่.
[1130] ใครจะทำลายนัยน์ตาข้างที่สอง ของนาย
พันธุระผู้มีอาวุธในมือให้แตกได้ ใครจักกระทำ
ลูก รังของเรา และตัวเราให้มีความสวัสดีได้.
[1131] ดูก่อนมหาบพิตร คติของกระพี้ไม้นั้น
มีอยู่เพียงใด กระพี้ไม้ทั้งหมด แมลงภู่เจาะกิน
สิ้นแล้วเพียงนั้น แมลงภู่หมดอาหารแล้ว จึง
ไม่ยินดีในไม้แก่น.
[1132] ไฉนหนอเราจึงจะจากที่นี่ ไปให้พ้นจาก